ภาพประกอบเนื้อหา
ได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติงานนอกเวลา 2 แห่ง เบิกค่าตอบแทนได้แห่งเดียว
เรื่องดำที่ 5910044 เรื่องแดงที่ 0044162
ผลคำวินิจฉัย ยกอุทธรณ์
การดำเนินการทางวินัย ต้นสังกัดดำเนินการเอง
ข้าราชการที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานนอกเวลาราชการและวันหยุดราชการในส่วนราชการสองแห่ง การเบิกเงินค่าตอบแทนต้องเบิกจากส่วนราชการที่ได้ปฏิบัติงานนอกเวลาจริงเพียงแห่งเดียว การที่ผู้อุทธรณ์เบิกเงินค่าตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาจากหน่วยงานหนึ่ง ทั้งที่ตนเองก็ได้รับเงินค่าตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาจากอีกหน่วยงานหนึ่งในเวลาเดียวกันด้วย แสดงให้เห็นถึงเจตนาที่จะแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองจากการเบิกจ่ายเงินและรับเงินค่าตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาทั้งสองแห่งในเวลาเดียวกัน
ข้อเท็จจริง
สำนักงานสาธารณสุขอำเภอแห่งหนึ่งได้ตรวจสอบการเบิกเงินค่าตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการของข้าราชการในสังกัดแล้วพบว่า ผู้อุทธรณ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพและได้รับมอบหมายได้ปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ได้ทำการเบิกเงินค่าตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาซ้ำซ้อนกัน 2 แห่งในช่วงเวลาเดียวกันมาตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 - 2557 สำนักงานสาธารณสุขอำเภอจึงได้รายงานเรื่องดังกล่าวให้ผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับ จนกระทั่งได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรงกับผู้อุทธรณ์ จากการสอบสวนพยานหลักฐานต่างๆ ฟังได้ว่า ในการปฏิบัติงานของผู้อุทธรณ์ ได้มีคำสั่งของอำเภอแต่งตั้งให้ผู้อุทธรณ์เป็นเจ้าหน้าที่การเงินของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล นอกจากนี้ ยังได้มีคำสั่งมอบหมายให้ปฏิบัติงานนอกเวลาราชการและวันหยุดราชการที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โดยให้ทำหน้าที่อยู่เวรรักษาสถานที่ราชการและปฏิบัติงานด้านการรักษาพยาบาลนอกเวลาราชการและวันหยุดราชการ ในวันที่ 1 – 15 ของทุกๆ เดือน ซึ่งในการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวตั้งแต่เดือนธันวาคม 2553 - เดือนกรกฎาคม 2557 ผู้อุทธรณ์ได้ลงลายมือชื่อเวลามา 16.30 น. เวลากลับ 08.30 น. และได้รับเงินค่าตอบแทนการปฏิบัติงานเป็นเงินจำนวน 75,200 บาท นอกจากนี้ โรงพยาบาล ก. ได้มีคำสั่งมอบหมายให้ผู้อุทธรณ์ปฏิบัติงานนอกเวลาและวันหยุดราชการที่โรงพยาบาล ก. ตามวันเวลาที่กำหนดในคำสั่ง โดยทำหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งและให้บริการประชาชนโดยเคร่งครัด บันทึกการรักษาพยาบาลผู้ป่วย รวมทั้งมีหน้าที่ปฏิบัติงานเวรนอกเวลาราชการ เวรส่งต่อผู้ป่วย (เวร refer) ตามที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งในการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวตั้งแต่เดือนธันวาคม 2553 - เดือนกรกฎาคม 2557 ผู้อุทธรณ์ได้ปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่เวลา 16.30 – 08.30 น. และได้รับเงินค่าตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาในส่วนค่าอยู่เวร refer เป็นเงินจำนวน 67,850 บาท อันเป็นการเบิกค่าตอบแทนทั้งสองแห่งซ้ำซ้อนในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งต่อมาผู้อุทธรณ์ได้คืนเงินจำนวน 75,200 บาท ให้กับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแล้ว ผู้ว่าราชการจังหวัด โดยมติ อ.ก.พ. จังหวัด ได้พิจารณาข้อเท็จจริงตามทางการสอบสวนแล้วเห็นว่า การกระทำของผู้อุทธรณ์เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยทุจริต ตามมาตรา 85 (1) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 จึงได้มีคำสั่งลงโทษไล่ผู้อุทธรณ์ออกจากราชการ ผู้อุทธรณ์จึงได้อุทธรณ์คำสั่งลงโทษดังกล่าวต่อ ก.พ.ค.
คำวินิจฉัย
ก.พ.ค. พิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้อุทธรณ์ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้เป็นเจ้าหน้าที่การเงินของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบดำเนินการทางการเงินและเป็นผู้เบิกเงินจ่ายเงิน การที่ผู้อุทธรณ์เบิกเงินจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลและจ่ายเงินให้กับตนเอง ทั้งที่ผู้อุทธรณ์ก็รับเงินค่าตอบแทนการอยู่เวรที่โรงพยาบาล ก. ในเวลาเดียวกันด้วย จึงเห็นได้ว่าผู้อุทธรณ์มีหน้าที่ราชการที่จะต้องปฏิบัติในฐานะเจ้าหน้าที่การเงินตามที่ได้รับมอบหมาย แต่ได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการไม่เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ คำสั่งของผู้บังคับบัญชา เพื่อให้ตนเองได้ประโยชน์ที่มิควรได้ และโดยมีเจตนาทุจริต เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองจากการเบิกจ่ายเงินและรับเงินค่าอยู่เวรทั้งสองแห่งในเวลาเดียวกันติดต่อกันเป็นเวลานานหลายปี นอกจากนี้ การที่ผู้อุทธรณ์ปฏิบัติหน้าที่เป็นการประจำที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ผู้อุทธรณ์จึงต้องปฏิบัติหน้าที่ราชการประจำ รวมทั้งนอกเวลาราชการและวันหยุดราชการ ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลเป็นหลัก ส่วนการที่จะไปปฏิบัติหน้าที่ราชการนอกเวลาราชการและวันหยุดราชการที่โรงพยาบาล ก. ก็สามารถกระทำได้ แต่การปฏิบัติหน้าที่อยู่เวรนอกเวลาราชการทั้งสองแห่งในวันเวลาเดียวกันย่อมเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ ซึ่งหากคำสั่งแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่ราชการนอกเวลากำหนดวันเวลาตรงกัน ผู้อุทธรณ์ย่อมต้องปฏิบัติหน้าที่ราชการที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โดยจะไปปฏิบัติหน้าที่ราชการที่โรงพยาบาล ก. มิได้ ดังนั้น การกระทำของผู้อุทธรณ์จึงเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการเพื่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยทุจริต ตามมาตรา 85 (1) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 และตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2536 แจ้งตามหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ นร 0205/ว 234 ลงวันที่ 24 ธันวาคม 2536 ได้กำหนดว่า การลงโทษผู้กระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการควรลงโทษเป็นไล่ออกจากราชการ การนำเงินที่ทุจริตไปแล้วมาคืน หรือมีเหตุอันควรปรานีอื่นใด ไม่เป็นเหตุลดหย่อนโทษเป็นปลดออกจากราชการได้ ดังนั้น เมื่อผู้อุทธรณ์กระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่จึงต้องลงโทษไล่ผู้อุทธรณ์ออกจากราชการ แม้จะปรากฏต่อมาว่าผู้อุทธรณ์ได้นำเงินการเบิกค่าปฏิบัติงานนอกเวลาราชการที่ซ้ำซ้อนมาคืนให้แก่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล แต่ก็ไม่เป็นเหตุให้ลดหย่อนโทษเป็นปลดออกจากราชการได้ การที่ผู้ว่าราชการจังหวัด โดยมติ อ.ก.พ. จังหวัด พิจารณาแล้วมีคำสั่งลงโทษไล่ผู้อุทธรณ์ออกจากราชการ จึงถูกต้องและเหมาะสมกับกรณีความผิดแล้ว อุทธรณ์ฟังไม่ขึ้น ก.พ.ค. จึงวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์
วันที่