Skip to main content
x

 

ไม่ส่งคืนเงินราชการ  แต่เก็บเงินไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงาน

 

เรื่องดำที่  5910164   เรื่องแดงที่  0092161
ผลคำวินิจฉัย    ยกอุทธรณ์ 
การดำเนินการทางวินัย    ต้นสังกัดดำเนินการเอง 
 
          ผู้อุทธรณ์ดำรงตำแหน่งเจ้าพนักงานการเงินและบัญชี และปฏิบัติหน้าที่ด้านการเงิน กรณีมีเงินเหลือจ่ายจะต้องนำส่งคืนโดยเร็ว แต่ผู้อุทธรณ์ไม่ได้ส่งเงินคืนทันทีในแต่ละเดือน โดยเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงานของตนเองและไม่มีผู้เกี่ยวข้องรู้เห็น ประกอบกับผู้อุทธรณ์ไม่สามารถคืนเงินจำนวนดังกล่าวได้ทันทีที่หัวหน้างานการเงินและบัญชีตรวจสอบพบและแจ้งให้ผู้อุทธรณ์ตรวจสอบตัวเลขให้ถูกต้องและให้ชี้แจง พฤติการณ์ของผู้อุทธรณ์ส่อให้เห็นเจตนาในการปกปิดการกระทำความผิด และมีเจตนาเก็บเงินไว้เพื่อประโยชน์ของตนเอง
 

ข้อเท็จจริง

          ขณะที่ผู้อุทธรณ์ดำรงตำแหน่งเจ้าพนักงานการเงินและบัญชีชำนาญงาน สังกัดโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานด้านการเงินและบัญชี มีหน้าที่เกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ หมวดเงินเดือนและค่าจ้าง หมวดเงินค่าตอบแทน เบิก-จ่ายเงินบำรุงโรงพยาบาล เบิก-จ่ายเงินประกันสังคมของโรงพยาบาล เมื่อผู้อุทธรณ์รวบรวมเอกสารแบบการเพิ่มค่าตอบแทนลูกจ้างชั่วคราวจากหัวหน้างานต่าง ๆ แล้ว ได้จัดทำคำขออนุมัติเบิกจ่ายเงินจากโรงพยาบาลตามจำนวนที่ได้รับแจ้งจากหัวหน้างานต่าง ๆ ผ่านหัวหน้าฝ่ายการเงิน เสนอผู้อำนวยการโรงพยาบาลอนุมัติ โดยเบิกเป็นเงินสดเพื่อนำไปจ่ายเบี้ยขยันแก่ลูกจ้างชั่วคราว และขณะที่ทำเรื่องเบิกเงิน ผู้อุทธรณ์ได้ส่งเอกสารการเบิกเงินดังกล่าวให้ฝ่ายการเจ้าหน้าที่ตรวจสอบวันลาของเจ้าหน้าที่ว่าหน่วยงานต่าง ๆ คิดมาถูกต้องหรือไม่ ซึ่งจะมีบางหน่วยงานที่คิดวันลามาไม่ถูกต้อง โดยไม่ส่งเอกสารให้การเจ้าหน้าที่ตรวจสอบวันลาก่อน และผู้อุทธรณ์ได้นำเงินสดที่เบิกมาใส่ซองเพื่อจ่ายให้หัวหน้างานต่าง ๆ รับไป ในการจ่ายเงิน ผู้อุทธรณ์จ่ายเงินโดยหักวันลาหรือวันหยุดตามที่การเจ้าหน้าที่ตรวจสอบและส่งกลับคืนมาให้ผู้อุทธรณ์ ทำให้เงินที่ขออนุมัติจ่ายกับเงินที่จ่ายจริงมีส่วนต่างเหลือจ่ายในแต่ละเดือน และผู้อุทธรณ์ไม่ได้นำส่งเงินคืนโรงพยาบาลโดยอ้างว่าเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงานของตนเองและไม่มีผู้เกี่ยวข้องรู้เห็น โดยมีเงินเหลือสะสมตั้งแต่เดือนตุลาคม 2554 ถึงเดือนสิงหาคม 2555 จำนวน 20,850 บาท ซึ่งผู้อุทธรณ์ได้ยอมรับในข้อบกพร่องที่ยังไม่ได้นำเงินส่งคืนโรงพยาบาล และได้นำเงินจำนวนดังกล่าวส่งคืนโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2555 จำนวนเงิน 20,850 บาท

 

คำวินิจฉัย

          ก.พ.ค. พิจารณาแล้วเห็นว่าผู้อุทธรณ์มีหน้าที่เกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ หมวดเงินเดือนและค่าจ้าง หมวดเงินค่าตอบแทน หมวดเงินสวัสดิการ เบิกจ่ายเงินบำรุงโรงพยาบาล และเบิกจ่ายเงินประกันสังคมของโรงพยาบาลกระทุ่มแบน ซึ่งผู้อุทธรณ์ก็ได้ให้การยอมรับว่าได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานด้านการเงินและบัญชี มีหน้าที่เกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินประกันสังคมในส่วนค่าตอบแทน (เบี้ยขยัน) ลูกจ้างเงินบำรุงของโรงพยาบาล มีหน้าที่ทำเรื่องขออนุมัติเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทน (เบี้ยขยัน) ลูกจ้างเงินบำรุง โดยรวบรวมเอกสารจากหัวหน้างานต่าง ๆ และจัดทำคำขออนุมัติเบิกเงินจากโรงพยาบาล ผู้อุทธรณ์จึงมีหน้าที่ราชการที่ต้องปฏิบัติทั้งโดยตำแหน่งและจากคำสั่งมอบหมายของผู้บังคับบัญชาเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินประกันสังคมในส่วนค่าตอบแทน (เบี้ยขยัน) ลูกจ้างเงินบำรุงของโรงพยาบาล นอกจากนี้ข้อเท็จจริงยังรับฟังได้ว่า ในการเบิกจ่ายค่าตอบแทนพิเศษ (เบี้ยขยัน) ให้กับลูกจ้างชั่วคราว เงินบำรุงโดยจ่ายจากเงินประกันสังคม ผู้อุทธรณ์ไม่ได้ส่งเอกสารคำขอเบิกตามแบบการเพิ่มค่าตอบแทนลูกจ้างชั่วคราวของหน่วยงานต่าง ๆ ให้งานการเจ้าหน้าที่ตรวจสอบวันลาก่อน แล้วจึงจัดทำบันทึกขออนุมัติเบิกจ่ายเงินตามจำนวนเงินที่หักวันลาแล้วเพื่อเสนอหัวหน้างานการเงินและบัญชีลงนามเสนอผู้อำนวยการโรงพยาบาลอนุมัติ แต่ผู้อุทธรณ์แจ้งให้หน่วยงานต่าง ๆ ของโรงพยาบาล ส่งเอกสารคำขอเบิกตามแบบการเพิ่มค่าตอบแทนลูกจ้างชั่วคราวมาที่ตนเองก่อน โดยผู้อุทธรณ์จะรวบรวมคำขอเบิก รวมยอดเงินและจัดทำบันทึกขออนุมัติเบิกจ่ายตามยอดเงินที่หน่วยงานต่าง ๆ ขอเบิก โดยไม่ได้ส่งงานบุคลากรตรวจสอบและหักวันลาก่อน แล้วเสนอหัวหน้างานการเงินและบัญชี ลงนามเสนอผู้อำนวยการโรงพยาบาลอนุมัติ ในขณะเดียวกันก็ส่งเอกสารคำขอเบิกไปให้งานบุคลากรตรวจสอบวันลา โดยผู้อุทธรณ์จะจ่ายเงินตามยอดเงินที่งานบุคลากรตรวจสอบวันลาและหักเงินค่าตอบแทนสำหรับวันลาแล้ว ทำให้เงิน ที่ขออนุมัติจ่ายกับเงินที่จ่ายจริงมีส่วนต่างเหลือจ่ายในแต่ละเดือน และผู้อุทธรณ์ไม่ได้นำส่งเงินคืนโรงพยาบาล ซึ่งผู้อุทธรณ์ดำรงตำแหน่งเจ้าพนักงานการเงินและบัญชี และปฏิบัติหน้าที่ด้านการเงิน จึงควรทราบขั้นตอนการปฏิบัติและระเบียบแบบแผนของทางราชการ กรณีมีเงินเหลือจ่ายว่าจะต้องนำส่งคืนโดยเร็ว ทั้งนี้ ตามแนวทางปฏิบัติของระเบียบการเบิกจ่ายเงินจากคลัง การเก็บรักษาเงินและการนำเงินส่งคลัง พ.ศ. 2551 ข้อ 95 วรรคหนึ่ง โดยกรณีนี้พบว่ามีเงินเหลือจ่ายสะสมตั้งแต่เดือนตุลาคม 2554 ถึงเดือนสิงหาคม 2555 จำนวน 20,850 บาท ซึ่งผู้อุทธรณ์ยอมรับว่าตนบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ และมีเงินเหลือจ่ายในแต่ละเดือน รวมเป็นเงินจำนวน 20,850 บาท ไม่ได้ส่งเงินคืนโรงพยาบาลทันทีในแต่ละเดือน โดยเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงานของตนเองและไม่มีผู้เกี่ยวข้องรู้เห็น โดยผู้อุทธรณ์ได้ส่งเงินคืนโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2555 จำนวน 20,850 บาท
          นอกจากนี้ เมื่อมีการตรวจสอบพบว่าเอกสารขออนุมัติเบิกกับหลักฐานการจ่ายเงินยอดเงินไม่ตรงกัน และหัวหน้างานการเงินและบัญชีได้สั่งการให้ผู้อุทธรณ์ตรวจสอบให้ถูกต้อง แทนที่ผู้อุทธรณ์จะรายงานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่าตอบแทนพิเศษ (เบี้ยขยัน) ให้กับลูกจ้างชั่วคราวให้หัวหน้างานการเงินและบัญชีทราบว่าเหตุใดยอดเงินที่ขออนุมัติเบิกจ่ายกับยอดเงินที่จ่ายจริงไม่ตรงกันและมีเงินเหลือจ่ายทุกเดือน แต่ผู้อุทธรณ์กลับจัดทำหลักฐานการรับเงินที่หัวหน้าหน่วยงานต่าง ๆ ลงนามรับเงินขึ้นใหม่ให้ยอดเงินตรงกับยอดเงินที่ขออนุมัติเบิกจ่าย ซึ่งไม่ใช่ยอดเงินตามที่ได้จ่ายจริง และผู้อุทธรณ์ทราบเรื่องที่มีการตรวจพบความผิดปกติของการเบิกจ่ายเงินประกันสังคม หมวดเงินที่ใช้จ่ายสำหรับสวัสดิการพิเศษของลูกจ้างชั่วคราวดังกล่าวตั้งแต่ที่หัวหน้างานการเงินและบัญชีได้สั่งการให้ตรวจสอบและชี้แจง หากผู้อุทธรณ์เก็บเงินที่เหลือจ่ายในแต่ละเดือน จำนวนเงินรวม 20,850 บาท ไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงานตลอดเวลาจริง ผู้อุทธรณ์ก็ควรที่จะสามารถคืนเงินจำนวนดังกล่าวได้ทันที ตั้งแต่เมื่อหัวหน้างานการเงินและบัญชีตรวจสอบพบและแจ้งให้ผู้อุทธรณ์ตรวจสอบตัวเลขให้ถูกต้องและให้ชี้แจง หรือเมื่อมีการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อมูล หรือเมื่อผู้อุทธรณ์มาให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง แต่ผู้อุทธรณ์กลับไม่สามารถส่งเงินจำนวนดังกล่าวคืนได้ทันที โดยผู้อุทธรณ์ได้ส่งเงินคืนโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2555 ภายหลังจากที่ผู้อุทธรณ์ได้ให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการตรวจสอบข้อมูลเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2555 เป็นเวลาถึง 7 วัน จากพฤติการณ์ดังกล่าวทั้งหมดของผู้อุทธรณ์ส่อให้เห็นเจตนาของผู้อุทธรณ์ในการปกปิดการกระทำความผิดในการเบิกจ่ายเงินประกันสังคม หมวดเงินที่ใช้จ่ายสำหรับสวัสดิการพิเศษของลูกจ้างชั่วคราว ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2554 ถึงเดือนสิงหาคม 2555 ซึ่งมีเงินเหลือจ่ายในแต่ละเดือน จำนวนเงินรวม 20,850 บาท แต่ไม่ส่งเงินคืน โดยมีเจตนาเก็บไว้เพื่อประโยชน์ของตนเอง อันเป็นการกระทำความผิดทางวินัย ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยทุจริต ฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต และเที่ยงธรรม และฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ มติของคณะรัฐมนตรี นโยบายของรัฐบาล และไม่ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ ตามมาตรา 85 (1) และมาตรา 82 (1) และ (2) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ดังนั้น คำสั่งลงโทษไล่ผู้อุทธรณ์ออกจากราชการจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว อุทธรณ์ฟังไม่ขึ้น วินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์

 

วันที่