Skip to main content
x

 

นำเงินหลวงไปใช้ ย่อมผิดฐานทุจริต

 

เรื่องดำที่  5910133  เรื่องแดงที่  0034161
ผลคำวินิจฉัย  ฟังขึ้นบางส่วน และให้แก้ไขคำสั่งให้ถูกต้อง
การดำเนินการทางวินัย ต้นสังกัดดำเนินการเอง

 

                     ข้าราชการที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเงิน การที่เก็บเงินสดของทางราชการไว้กับตัวเป็นจำนวนมาก โดยที่ไม่นำเข้าเก็บในตู้นิรภัย ทั้งที่เป็นเรื่องกระทำได้โดยง่าย พฤติการณ์ส่อเจตนานำเงินดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว และถือเป็นทุจริตต่อหน้าที่ราชการ มีโทษถึงไล่ออกจากราชการ การนำเงินที่ทุจริตไปแล้วมาคืนไม่เป็นเหตุลดหย่อนโทษ

 

ข้อเท็จจริง

                     ผู้อุทธรณ์ เดิมรับราชการตำแหน่งเจ้าพนักงานราชทัณฑ์ชำนาญงาน ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้างานการเงินผลพลอยได้ ฝ่ายฝึกวิชาชีพผู้ต้องขัง ในเรือนจำหญิงแห่งหนึ่ง ได้นำเงินสดออกจากตู้นิรภัยจำนวน ๖๐๐,๐๐๐ บาท โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชา แล้วนำเงินฝากเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย ชื่อบัญชี เงินผลพลอยได้ จำนวน 400,000 บาท ส่วนเงินสดที่เหลืออีกจำนวน 200,000 บาท ไม่ได้นำเข้าบัญชี โดยอ้างว่าเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงานใส่กุญแจล็อกไว้เรียบร้อย เพื่อกันไว้จ่ายเงินปันผลแก่ผู้ต้องขังและนำส่งเป็นรายได้แผ่นดินจำนวน 2% ต่อมาก็ได้ทำการเดินบัญชีเงินสดเงินปันผลของผู้ต้องขังช่างไม้ และได้นำเงินออกจากตู้นิรภัย อีกจำนวน 33,775.50 บาท โดยไม่ได้ขออนุมัติจากผู้บังคับบัญชา
                     อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรงซึ่งคณะกรรมการสอบสวนเห็นว่า เงินที่เหลือจากฝากธนาคาร จำนวน 200,000 บาท ผู้อุทธรณ์ได้เก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงาน เพื่อกันไว้เป็นเงินปันผลแก่ผู้ต้องขัง และนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน    ไม่ได้นำเงินดังกล่าวไปใช้ส่วนตัว พฤติการณ์เป็นความผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ควรลงโทษลดเงินเดือนในอัตราร้อยละ 4 ส่วนกรณีทำการเดินบัญชีเงินสดเงินปันผลของผู้ต้องขังช่างไม้ จำนวน 33,775.50 บาท และยังไม่ได้ขออนุมัติผู้บังคับบัญชา นั้น เนื่องจากเงินดังกล่าวยังอยู่ในตู้นิรภัย ผู้อุทธรณ์จึงไม่มีความผิดกรณีนี้ ที่สุดอธิบดีกรมราชทัณฑ์โดยมติ อ.ก.พ. กรมราชทัณฑ์ เห็นว่าผู้อุทธรณ์ได้นำเงิน จำนวน 200,000 บาท และเงินปันผลของผู้ต้องขังช่างไม้ จำนวน 33,775.50 บาท ไปใช้จ่ายส่วนตัว จึงมีคำสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการ ฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ และกระทำการอันได้ชื่อว่าประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 85 (1) และ (4) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551
 

คำวินิจฉัย

                  ก.พ.ค. พิจารณาแล้วเห็นว่า กรณีนำเงินสดเงินปันผลของผู้ต้องขังช่างไม้ จำนวน 33,775.50 บาท ออกจากตู้นิรภัย โดยไม่ได้ขออนุมัติจากผู้บังคับบัญชา นั้น พยานบุคคลซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายฝึกวิชาชีพผู้ต้องขัง และลูกจ้างชั่วคราวของเรือนจำ ต่างให้ถ้อยคำว่าเงินจำนวนดังกล่าวยังอยู่ในตู้นิรภัย พยานหลักฐานจึงยังไม่เพียงพอที่จะรับฟังได้ว่าผู้อุทธรณ์นำเงินดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว
                  ส่วนกรณีที่ผู้อุทธรณ์ ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้างานการเงินผลพลอยได้ ฝ่ายฝึกวิชาชีพผู้ต้องขัง ได้นำเงินสดออกจากตู้นิรภัย จำนวน 600,000 บาท โดยไม่ได้ขออนุญาตจากคณะกรรมการเก็บรักษาเงินสดและผู้บัญชาการเรือนจำ และได้ทำการเดินบัญชีเงินผลพลอยได้ ฝ่ายฝึกวิชาชีพผู้ต้องขังว่านำเงินฝากเข้าธนาคาร จำนวน 600,000 บาท นั้น ก.พ.ค. ฝ่ายเสียงข้างมากเห็นว่าจากพยานหลักฐานปรากฏว่ามีการนำฝากเงินสดจริงเพียง 400,000 บาท การที่ผู้อุทธรณ์อ้างว่ากันเงินไว้ 200,000 บาท เพื่อไว้ใช้จ่ายให้แก่ผู้ต้องขังนั้น เป็นการกระทำที่ไม่สมเหตุสมผล เนื่องจากคำแถลงด้วยวาจาของผู้อุทธรณ์และคำให้การของหัวหน้าฝ่ายฝึกวิชาชีพผู้ต้องขัง รับฟังได้ว่ากุญแจตู้นิรภัยเก็บไว้ที่เจ้าหน้าที่ แล้วแต่ใครจะสะดวกใช้ โดยเจ้าหน้าที่สามารถขอกุญแจตู้นิรภัยจากผู้เกี่ยวข้องไปเปิดตู้นิรภัยได้เอง ดังนั้นการเบิกเงินออกจากตู้นิรภัยของเรือนจำ มิได้มีขั้นตอนยุ่งยากแต่อย่างใด จึงไม่มีเหตุผลที่ผู้อุทธรณ์ต้องเก็บเงินสด 200,000 บาท ไว้ ซึ่งเสี่ยงต่อการสูญหายมากกว่าการเก็บเงินไว้ในตู้นิรภัย ประกอบกับหลังจากที่สำนักตรวจเงินแผ่นดินเข้าตรวจสอบเรือนจำแห่งนี้  ในวันที่ผู้อุทธรณ์ลาป่วย ผู้อุทธรณ์ได้โทรศัพท์ไปหาหัวหน้าฝ่ายฝึกวิชาชีพผู้ต้องขังเพื่อเล่าเรื่องเกี่ยวกับเงินดังกล่าว หัวหน้าฝ่ายฝึกวิชาชีพผู้ต้องขังจึงมีหนังสือรายงานผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดว่า ผู้อุทธรณ์ได้นำเงินจำนวน 200,000 บาท ไปใช้ส่วนตัว ภายหลังจากนั้นก็ปรากฏว่าผู้อุทธรณ์ได้นำเงินจำนวน 200,000 บาท ไปคืน จากพฤติการณ์ดังกล่าวจึงเชื่อได้ว่าผู้อุทธรณ์ได้นำเงินจำนวน 200,000 บาท ไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวจริง  พฤติการณ์เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยทุจริต และฐานกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 85 (1) และ (4) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ก.พ.ค. จึงมีคำวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ และให้ยกเลิกกรณีการนำเงินปันผลของผู้ต้องขังช่างไม้ จำนวน 33,775.50 บาท ไปใช้ส่วนตัว

 

วันที่