Skip to main content
x

 

มีหน้าที่เก็บเงินแต่นำไปใช้เสียเอง

 

เรื่องดำที่ 6010053  เรื่องแดงที่ 0087160
ผลคำวินิจฉัย  ยกอุทธรณ์
การดำเนินการทางวินัย  ต้นสังกัดดำเนินการเอง
 
ข้อเท็จจริง
          ผู้อุทธรณ์ เดิมรับราชการตำแหน่งเจ้าพนักงานการเงินและบัญชีชำนาญงาน สังกัดสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดแห่งหนึ่ง ได้อุทธรณ์คำสั่งต่อ ก.พ.ค. ในการที่ถูกอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการ ในเรื่องที่ได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่ในช่วงระหว่างวันที่ 31 มีนาคม 2557 – 20 กุมภาพันธ์ 2558 ดังนี้
                 1.  หน้าที่ในการจัดเก็บเงินค่าบำรุงสวัสดิการอาคารบ้านพักราชการจากผู้ที่เข้าพักอาศัยอาคารบ้านพักราชการในศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชน แล้วนำเงินที่จัดเก็บได้ไปจ่ายค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา ค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ผู้จดมิเตอร์ และอื่น ๆ ตามระเบียบ และนำเงินที่เหลือฝากเข้าบัญชีธนาคารที่เปิดไว้
                 2.  หน้าที่ในการจัดเก็บเงินสัจจะสะสมทรัพย์ของเจ้าหน้าที่ ในอัตราคนละ 100 บาทต่อเดือน เพื่อนำฝากเข้าบัญชีเงินฝากที่เปิดไว้
          ต่อมาวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2558 ผู้อุทธรณ์ได้ย้ายไปปฏิบัติราชการที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนแห่งอื่น และนำสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารทั้งสองประเภทดังกล่าวพร้อมเงินสดติดตัวไปด้วย โดยมิได้รายงานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเงินดังกล่าวพร้อมกับส่งเงินสดคงเหลือและสมุดบัญชีคู่ฝากของธนาคารให้แก่ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มาปฏิบัติหน้าที่แทนตนทราบ  เมื่อมีผู้มาปฏิบัติหน้าที่แทนจึงได้ตรวจพบว่าเงินทั้งสองกรณีขาดบัญชีรวมทั้งสิ้น 317,731.66 บาท จึงได้มีการติดตามสอบถามจากผู้อุทธรณ์  ผู้อุทธรณ์ได้ทยอยโอนเงินคืนตั้งแต่ช่วงระหว่างเดือนเมษายน – กันยายน 2558 จนครบจำนวน  อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจึงได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงและภายหลังได้มีคำสั่งลงโทษไล่ผู้อุทธรณ์ออกจากราชการ ในความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยทุจริต ฐานกระทำการอันได้ชื่อว่าประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง  ฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต และเที่ยงธรรม อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง  ฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี นโยบายของรัฐบาล  และไม่ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทางราชการอันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง  ฐานไม่รักษาชื่อเสียงของตนและเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่ราชการของตนมิให้เสื่อมเสียอันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง  ฐานอาศัยหรือยอมให้ผู้อื่นอาศัยตำแหน่งหน้าที่ราชการของตนหาประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือผู้อื่นอันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง  ตามมาตรา 85 (1) (4) (7) ประกอบมาตรา 82 (1) (2) (10) มาตรา 83 (3) และมาตรา 84 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ตามมติ อ.ก.พ. กรมฯ  ผู้อุทธรณ์จึงได้อุทธรณ์คำสั่งลงโทษดังกล่าวต่อ ก.พ.ค.
คำวินิจฉัย
          ก.พ.ค. พิจารณาแล้วว่า ข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้อุทธรณ์ได้ย้ายไปปฏิบัติราชการที่อื่นโดยนำสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารของเงินบำรุงสวัสดิการอาคารบ้านพักราชการ และสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารของเงินสัจจะสะสมทรัพย์ พร้อมสมุดสัจจะสะสมทรัพย์รายบุคคลและเงินสดคงเหลือที่ตนมีหน้าที่ครอบครองดูแลรักษาติดตัวไปด้วย โดยไม่ได้ส่งมอบคืนให้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้ที่มาปฏิบัติหน้าที่แทนตน  ต่อมาผู้ที่มาปฏิบัติหน้าที่แทนผู้อุทธรณ์ไม่สามารถเบิกเงินเพื่อปรับปรุงอาคารบ้านพักและไม่สามารถเบิกเงินเพื่อจ่ายเงินปันผลให้สมาชิกกลุ่มเงินสัจจะสะสมทรัพย์ได้ เนื่องจาก เงินในบัญชีมีจำนวนไม่พอ  จึงมีการติดต่อสอบถามไปยังผู้อุทธรณ์เพื่อให้นำสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารดังกล่าวทั้งหมดมาคืน  เมื่อได้รับสมุดบัญชีธนาคารจึงนำไปปรับยอดเงินเคลื่อนไหวพบว่ามียอดเงินขาดบัญชีทั้งสองกรณีรวมเป็นเงิน 317,731.66 บาท จึงมีการติดตามเงินในส่วนที่ขาดจากผู้อุทธรณ์  ซึ่งผู้อุทธรณ์ได้ทยอยโอนเงินเข้าบัญชีให้จนครบตั้งแต่เดือนเมษายน - กันยายน 2558  หากผู้อุทธรณ์ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต ก่อนย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ที่อื่นก็ควรรายงานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเงินดังกล่าวให้ผู้บังคับบัญชาทราบ พร้อมมอบหลักฐาน เงินคงเหลือและสมุดบัญชีคู่ฝากของธนาคาร และเมื่อได้รับแจ้งว่ายังมีเงินขาดบัญชีก็ควรจะต้องรีบส่งเงินคืนให้โดยเร็วไม่ต้องใช้เวลาส่งคืนถึงหกเดือนเศษถึงจะคืนเงินให้ครบถ้วน ประกอบกับในชั้นสอบสวนข้อเท็จจริงและบันทึกของผู้อุทธรณ์ถึงผู้บังคับบัญชาระดับต้นได้ยอมรับข้อเท็จจริงว่าได้นำเงินค่าบำรุงสวัสดิการอาคารบ้านพักราชการ จำนวน 32,163.26 บาท และเงินสัจจะสะสมทรัพย์จำนวน จำนวน 105,568.40 บาท ไปใช้ส่วนตัว  ข้อต่อสู้ของผู้อุทธรณ์ที่ว่าไม่ได้นำเงินจำนวนดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว จึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังได้  กรณีเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบ  เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และเป็นการกระทำโดยเจตนาทุจริตก่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ  พฤติการณ์เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามที่ถูกลงโทษ  การที่อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนมีคำสั่งลงโทษไล่ผู้อุทธรณ์ออกจากราชการจึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว  อุทธรณ์ฟังไม่ขึ้น  วินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์
 
วันที่