ภาพประกอบเนื้อหา
คำสอนของพระสังฆราช
วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2558 นับเป็นวันที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ชาติไทยอีกวาระหนึ่ง เมื่อได้มีงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ณ พระเมรุวัดเทพศิรินทราวาส แม้นับถึงวันนี้จะล่วงเลยผ่านมาได้ 6 วัน แต่ภาพความทรงจำในพระกรณียกิจอันทรงคุณประโยชน์นานับประการ รวมถึงพระจริยวัตรอันงดงามของพระองค์ท่านยังคงจารึกในดวงใจของคนไทยอยู่เสมอ
ก.พ.ค. ขอบอกในวันนี้จึงขอร่วมน้อมรำลึกถึงพระองค์ท่าน โดยจะขอกล่าวขานถึง พระอัจฉริยภาพ และพระปรีชาสามารถที่พระองค์ท่านได้ทรงนิพนธ์เรื่องต่าง ๆ ไว้เป็นอันมาก ทั้งที่เป็นตำรา พระธรรมเทศนา และทั่วไป ซึ่งมีลักษณะการใช้ภาษาที่เข้าใจได้ง่ายและลึกซึ้งทำให้ผู้อ่านสามารถเข้าถึงคำสอนและนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อให้เกิดความสงบสุขแก่ตนเอง ครอบครัว สังคมและประเทศชาติได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ ขอยกตัวอย่างพระนิพนธ์ เรื่อง “คิดให้รู้จักพอและการทำดีต้องไม่พอ” ที่พระองค์ท่านได้ทรงจำแนกผลของการกระทำและย้ำเตือนให้เห็นถึงการทำความดีย่อมต้องได้ดี ว่า “ทำดีไม่ได้ดีไม่มีอยู่ในความจริง มีอยู่แต่ในความเข้าใจผิดของคนทั้งหลายเท่านั้น ทำดีแล้วต้องได้ดีแน่นอน ที่มีเหตุการณ์ต่าง ๆ นานา ปรากฏขึ้นเหมือนทำดีไม่ได้ดีนั้นเป็นเพียงปรากฏการณ์ของความสลับซับซ้อนแห่งการให้ผลของกรรมเท่านั้น เพราะกรรมนั้นไม่ได้ให้ผลทันตาทันใจเสมอไป” นอกจากนี้ พระองค์ท่านยังได้นิพนธ์อีกว่า “ทุกชีวิตมีเวลาจำกัดอย่างมากไม่เกินร้อยปีก็จะต้องละร่างนี้ ละโลกนี้ไป อย่าผัดวันประกันพรุ่งที่จะทำความดี” จะเห็นได้ว่า คำสอนดังกล่าวสามารถสลายความสงสัยและให้คำตอบที่แจ่มแจ้งถึงผลของความดีที่ยังมาไม่ถึง ที่ใช่ว่าทำดีแล้วไม่ได้ดีอย่างที่มีการพูดว่า “ทำดีแล้วได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป” ซึ่งเป็นคำพูดแนวประชดประชันและติดปากสำหรับคนที่ทำความดีแล้วยังไม่ได้รับผลของความดี ส่วนคนที่ทำความชั่วก็ยังไม่เห็นผลความชั่วที่จะตามมา ทำให้ผู้ทำความดีท้อถอยหมดกำลังใจในการทำความดี แต่เมื่อได้อ่านหลักธรรมคำสอนของพระองค์ท่านแล้ว ทำให้เรายังคงเชื่อมั่นในการทำความดีโดยไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค และไม่ประมาทที่จะรีบทำความดี เพราะไม่อาจรู้แน่ว่า เราจะละร่างนี้ และละโลกนี้ไปในเวลาใด
ดังนั้น จึงอยากจะย้ำเตือนโดยเฉพาะเพื่อนข้าราชการทุกท่านว่า อาชีพรับราชการเป็นอาชีพที่ทำงานเพื่อมุ่งหมายให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชน สังคมและประเทศชาติ หากข้าราชการปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ สุจริต ทำเต็มตามกำลังความสามารถโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชังแล้ว นั่นก็คือการทำคุณงามความดีที่ย่อมเกิดผลแห่งความดีตามมาอย่างแน่นอน และในทางกลับกัน หากข้าราชการรายใดไม่รู้จักหน้าที่ อยากได้ อยากมี อยากเป็นและทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ ให้มีให้เป็น โดยมิชอบในสิ่งที่ไม่ใช่ของเราแล้ว ก็ให้ตระหนักไว้เลยว่า สักวันหนึ่งผลแห่งการกระทำกรรมไม่ดีนั้นย่อมตามมาตอบสนองอย่างแน่นอนเช่นเดียวกัน
(ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน คอลัมน์ "ก.พ.ค. ขอบอก" ฉบับวันอังคารที่ 22 ธันวาคม 2558)
วันที่